ต้องเติมเกลือ Salt ในสระว่ายน้ำบ่อยแค่ไหน?

การใช้เกลือในสระว่ายน้ำ

ต้องเติมเกลือ Salt ในสระว่ายน้ำบ่อยแค่ไหน? เป็นทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในระบบสระว่ายน้ำที่ใช้เกลือในการผลิตคลอรีน เพื่อช่วยฆ่าเชื้อและรักษาคุณภาพน้ำในสระ โดยไม่จำเป็นต้องใช้คลอรีนในรูปแบบเม็ดหรือเหลวแบบดั้งเดิม

เกลือ สระว่ายน้ำ

1. ความนิยมของระบบเกลือในสระว่ายน้ำ

ระบบเกลือในสระว่ายน้ำได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานเนื่องจากมีข้อดีหลายประการ:

  • ความสะดวกสบาย: ระบบเกลือช่วยลดความยุ่งยากในการเติมคลอรีนเป็นประจำ เพราะระบบนี้จะผลิตคลอรีนจากเกลือที่เติมเข้าไปในน้ำ โดยใช้เครื่องเกลือ (Salt Chlorinator) ซึ่งจะทำงานโดยอัตโนมัติ
  • ปลอดภัยต่อผู้ใช้: ระบบเกลือไม่ทำให้เกิดกลิ่นคลอรีนเหม็นเหมือนการใช้คลอรีนทั่วไปและไม่ทำให้ผิวหนังและดวงตาระคายเคืองมากเกินไป
  • ค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า: ถึงแม้ว่าในตอนแรกจะต้องลงทุนในการติดตั้งเครื่องเกลือ แต่ระยะยาวจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อคลอรีนแบบเม็ดหรือเหลว

2. วัตถุประสงค์หลักของการใช้เกลือในสระว่ายน้ำ

การใช้เกลือในสระว่ายน้ำมีวัตถุประสงค์หลักคือการผลิตคลอรีนที่ใช้ในการฆ่าเชื้อและบำรุงรักษาคุณภาพน้ำในสระ โดยทำงานผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การสลายตัวของเกลือ (Electrolysis) ซึ่งเกิดขึ้นในเครื่องเกลือที่ติดตั้งในระบบ

  • ฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย: คลอรีนที่ผลิตจากเกลือช่วยฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ในสระ รวมถึงแบคทีเรียและไวรัสที่อาจปนเปื้อนในน้ำ
  • ป้องกันการเติบโตของสาหร่าย: คลอรีนช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของสาหร่ายในสระ ทำให้น้ำในสระสะอาดและใส
  • รักษาคุณภาพน้ำ: คลอรีนช่วยปรับความสมดุลของน้ำและรักษาค่า pH ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับการว่ายน้ำ

3. การใช้งานของระบบเกลือในการผลิตคลอรีนและบำรุงรักษาคุณภาพน้ำ

  • การผลิตคลอรีนจากเกลือ: เมื่อเกลือถูกเติมเข้าไปในน้ำในปริมาณที่เหมาะสม เครื่องเกลือ (Salt Chlorinator) จะทำหน้าที่แยกน้ำเกลือ (NaCl) โดยใช้กระบวนการไฟฟ้า (Electrolysis) เพื่อผลิตคลอรีน (Cl2) ในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ
  • บำรุงรักษาคุณภาพน้ำ: คลอรีนที่ผลิตจากระบบเกลือจะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ในสระ รวมถึงการควบคุมค่า pH และความสมดุลของน้ำ ทั้งนี้ น้ำเกลือที่ผ่านการผลิตคลอรีนจะช่วยลดการใช้สารเคมีต่าง ๆ ที่มักใช้ในระบบสระว่ายน้ำทั่วไป

การใช้เกลือในสระว่ายน้ำช่วยให้การบำรุงรักษาสระทำได้ง่ายขึ้นและลดต้นทุนการใช้คลอรีนในระยะยาว ทั้งยังปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้ หากติดตั้งระบบเกลือและเครื่องเกลืออย่างถูกต้อง

เกลือ สระว่ายน้ำ

ระบบเกลือสำหรับสระว่ายน้ำ

ระบบเกลือสำหรับสระว่ายน้ำเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการดูแลรักษาคุณภาพน้ำในสระ โดยใช้เกลือในการผลิตคลอรีนผ่านกระบวนการที่เรียกว่า อิเล็กโทรไลซิส ซึ่งช่วยให้การฆ่าเชื้อในน้ำเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกมากขึ้น

1. วิธีการทำงานของระบบเกลือในสระว่ายน้ำ

ระบบเกลือในสระว่ายน้ำทำงานโดยการเติมเกลือ (NaCl) ลงในน้ำสระในปริมาณที่เหมาะสม จากนั้นเครื่องเกลือ (Salt Chlorinator) จะทำหน้าที่แยกเกลือออกเป็นคลอรีน (Cl2) ผ่านกระบวนการ อิเล็กโทรไลซิส ซึ่งจะทำให้คลอรีนที่ได้มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคและป้องกันการเจริญเติบโตของสาหร่ายในน้ำ ระบบนี้จะทำงานอัตโนมัติและผลิตคลอรีนตลอดเวลาที่ต้องการ โดยไม่ต้องเติมคลอรีนลงในสระเหมือนการใช้คลอรีนทั่วไป

2. การแยกเกลือออกเป็นคลอรีนด้วยกระบวนการอิเล็กโทรไลซิส

กระบวนการ อิเล็กโทรไลซิส ใช้ไฟฟ้าผ่านน้ำเกลือเพื่อแยก โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ออกเป็น โซเดียม (Na) และ คลอรีน (Cl) คลอรีนที่ได้จะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ และควบคุมการเจริญเติบโตของสาหร่ายในน้ำ การแยกคลอรีนในลักษณะนี้ทำให้มีประสิทธิภาพสูง และไม่ทำให้เกิดกลิ่นเหมือนการเติมคลอรีนแบบดั้งเดิม

3. ผลของการใช้คลอรีนที่เกิดจากเกลือในน้ำ

การใช้คลอรีนที่เกิดจากเกลือในการฆ่าเชื้อในน้ำมีผลดีหลายประการ:

  • ฆ่าเชื้อโรค: คลอรีนที่ผลิตจากเกลือช่วยฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น แบคทีเรีย, ไวรัส, และเชื้อรา ทำให้น้ำในสระสะอาดและปลอดภัย
  • ป้องกันสาหร่าย: คลอรีนช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของสาหร่ายในสระ ทำให้น้ำใสและไม่เกิดการปนเปื้อนจากสาหร่าย
  • บำรุงรักษาคุณภาพน้ำ: ช่วยรักษาความสมดุลของ pH ในสระว่ายน้ำและคงสภาพน้ำที่เหมาะสมสำหรับการว่ายน้ำ

4. ประโยชน์ของการใช้ระบบเกลือเปรียบเทียบกับการใช้คลอรีนทั่วไป

  • สะดวกและประหยัด: ระบบเกลือช่วยลดความจำเป็นในการเติมคลอรีนเป็นประจำ เพราะเครื่องเกลือจะผลิตคลอรีนจากเกลืออย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อคลอรีนทั่วไป
  • ลดการระคายเคือง: คลอรีนจากเกลือมีอัตราการระคายเคืองที่น้อยกว่าคลอรีนทั่วไป ทำให้ลดการระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตาของผู้ใช้
  • ไม่มีกลิ่นคลอรีน: การใช้ระบบเกลือช่วยลดกลิ่นคลอรีนที่มักเกิดจากการใช้คลอรีนแบบเม็ดหรือเหลว
  • รักษาคุณภาพน้ำที่ดีขึ้น: ระบบเกลือช่วยรักษาความสมดุลของ pH และควบคุมระดับคลอรีนในน้ำได้ดีขึ้น

5. การเลือกระบบเกลือที่เหมาะสมกับสระว่ายน้ำ

เมื่อเลือกใช้ระบบเกลือในการดูแลรักษาสระว่ายน้ำ ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้ระบบเกลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

  • ขนาดของสระ: เลือกระบบเกลือที่สามารถรองรับขนาดของสระได้พอเหมาะ เพื่อให้มีการผลิตคลอรีนที่เหมาะสม
  • จำนวนผู้ใช้งาน: สระที่มีการใช้งานบ่อยหรือมีผู้ใช้จำนวนมากอาจต้องการเครื่องเกลือที่มีกำลังการผลิตคลอรีนสูงขึ้น
  • สภาพอากาศ: ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัดหรืออากาศร้อนคลอรีนจะสลายเร็ว ควรเลือกระบบที่สามารถปรับความเข้มข้นของคลอรีนให้เหมาะสมตามสภาพอากาศ

6. ข้อดีและข้อเสียของระบบเกลือ

  • ข้อดี:
    • ลดความจำเป็นในการเติมคลอรีน
    • ลดการระคายเคืองและไม่มีกลิ่นคลอรีน
    • ช่วยให้การดูแลน้ำในสระเป็นไปได้ง่ายขึ้น
    • ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
  • ข้อเสีย:
    • มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบเกลือและเครื่องเกลือ
    • ต้องบำรุงรักษาเครื่องเกลือเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ระบบเกลือไม่สามารถใช้งานได้ดีในน้ำที่มีแร่ธาตุสูงหรือมีสารปนเปื้อนมาก

การใช้ระบบเกลือเป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาคุณภาพน้ำในสระว่ายน้ำ ช่วยให้การบำรุงรักษาเป็นไปได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยต่อผู้ใช้ในระยะยาว.

รับส่วนลดสุดพิเศษเมื่อสั่งซื้อบนเว็บไซต์

 

 

ความถี่ในการเติมเกลือในสระว่ายน้ำ

การเติมเกลือในสระว่ายน้ำมีความสำคัญในการรักษาระดับคลอรีนที่เหมาะสมในน้ำ โดยการเติมเกลือจะช่วยให้ระบบเกลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเติมเกลือจะแบ่งออกเป็นการเติมครั้งแรก (Initial Salt Addition) และการเติมเกลือซ้ำ (Ongoing Salt Addition)

1. เติมเกลือครั้งแรก (Initial Salt Addition)

การเติมเกลือครั้งแรกเป็นขั้นตอนสำคัญในการตั้งค่าและเริ่มใช้งานระบบเกลือสำหรับสระว่ายน้ำ โดยจะต้องเติมเกลือในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ปริมาณเกลือที่ต้องเติมในครั้งแรก: ปริมาณเกลือที่ต้องเติมขึ้นอยู่กับขนาดของสระและความเข้มข้นของเกลือที่ระบบเกลือสามารถรองรับได้ โดยทั่วไปการเติมเกลือจะใช้ประมาณ 2,000-3,000 กิโลกรัมต่อการเติมเกลือในสระขนาด 50,000 ลิตร ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของผู้ผลิตระบบเกลือ
  • วิธีการคำนวณการเติมเกลือตามขนาดของสระ: คำนวณปริมาณเกลือที่ต้องเติมโดยการคูณปริมาณน้ำในสระ (ลิตร) กับค่าความเข้มข้นของเกลือที่แนะนำจากผู้ผลิต เช่น หากระบบเกลือแนะนำให้ใช้เกลือในอัตรา 3,000 กรัมต่อลิตรของน้ำ 1,000 ลิตร สำหรับสระขนาด 50,000 ลิตร ให้เติมเกลือ 150 กิโลกรัม
  • การเติมเกลือและการตรวจสอบระดับความเข้มข้น: หลังจากเติมเกลือแล้วควรตรวจสอบความเข้มข้นของเกลือในน้ำเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในช่วงที่เหมาะสมตามคำแนะนำของผู้ผลิต อุปกรณ์ทดสอบเกลือสามารถใช้ตรวจวัดระดับความเข้มข้นของเกลือในน้ำและช่วยให้การเติมเกลือแม่นยำยิ่งขึ้น

2. การเติมเกลือซ้ำ (Ongoing Salt Addition)

การเติมเกลือซ้ำจะทำขึ้นตามความจำเป็นในระหว่างการใช้งาน โดยจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่สามารถส่งผลกระทบต่อระดับเกลือในน้ำ

  • การเติมเกลือเพิ่มเติมตามการใช้งาน: การเติมเกลือเพิ่มเติมจะขึ้นอยู่กับการใช้สระว่ายน้ำ เช่น หากมีการใช้งานบ่อย หรือสระมีจำนวนผู้ใช้งานมาก ควรเติมเกลือเพื่อให้ระดับคลอรีนในน้ำยังคงอยู่ในช่วงที่เหมาะสม
  • ปัจจัยที่มีผลต่อการเติมเกลือซ้ำ:
    1. การระเหยของน้ำ: น้ำในสระอาจระเหยไปตามเวลา ซึ่งจะทำให้ระดับเกลือลดลงได้ จึงต้องเติมเกลือเพิ่มเติมในกรณีนี้
    2. การเติมน้ำใหม่: หากเติมน้ำใหม่เข้าไปในสระ จะทำให้ความเข้มข้นของเกลือลดลง ควรเติมเกลือให้ตรงตามระดับที่ต้องการ
    3. การล้างสระ: การทำความสะอาดหรือการล้างสระว่ายน้ำอาจทำให้เกลือบางส่วนถูกชะล้างออกไป ทำให้ต้องเติมเกลือใหม่เพื่อรักษาระดับความเข้มข้น

3. คำแนะนำในการเติมเกลืออย่างสม่ำเสมอ

เพื่อให้ระบบเกลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเติมเกลืออย่างสม่ำเสมอโดย:

  • ตรวจสอบความเข้มข้นของเกลือในน้ำเป็นระยะ
  • เติมเกลือเมื่อระดับความเข้มข้นต่ำกว่าที่กำหนด
  • พิจารณาปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อระดับเกลือในน้ำ เช่น การระเหยของน้ำและการเติมน้ำใหม่
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตระบบเกลือสำหรับการเติมเกลือในปริมาณที่เหมาะสม

การเติมเกลือในสระว่ายน้ำตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้ระบบเกลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาคุณภาพน้ำในสระให้สะอาดและปลอดภัยสำหรับการใช้งาน

 

การรักษาระดับเกลือในน้ำ

การรักษาระดับเกลือในน้ำของสระว่ายน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานของระบบเกลือ เพื่อให้สามารถผลิตคลอรีนได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาคุณภาพน้ำในสระให้สะอาดและปลอดภัย การตรวจสอบและปรับระดับเกลือให้เหมาะสมเป็นขั้นตอนที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ

1. การตรวจสอบระดับเกลือในน้ำ

การตรวจสอบระดับเกลือในน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถรักษาระดับความเข้มข้นของเกลือในน้ำได้อย่างเหมาะสม ซึ่งมีวิธีการหลายประเภทในการตรวจสอบ:

  • วิธีการใช้เครื่องมือในการวัดระดับเกลือ:
    1. เครื่องมือทดสอบเกลือ (Salt Test Kit): เครื่องมือทดสอบเกลือในน้ำโดยการใช้ชุดทดสอบที่มีสารเคมีที่จะช่วยบอกค่าความเข้มข้นของเกลือในน้ำ
    2. เครื่องวัดค่าความเข้มข้นของเกลือดิจิตอล (Digital Salt Meter): เครื่องมือดิจิตอลที่สามารถวัดค่าความเข้มข้นของเกลือได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
    3. เครื่องวัดค่าความเค็ม (Refractometer): เครื่องมือที่ใช้วัดค่าความเค็มของน้ำ ซึ่งสามารถแสดงระดับความเข้มข้นของเกลือได้โดยตรง
  • วิธีการอ่านค่าความเข้มข้นของเกลือในน้ำ: การอ่านค่าความเข้มข้นของเกลือในน้ำสามารถทำได้โดยการตรวจสอบค่า ppm (parts per million) ที่เครื่องมือทดสอบแสดงออกมา โดยปกติค่าความเข้มข้นของเกลือในน้ำของสระว่ายน้ำจะอยู่ในช่วง 3,000–4,000 ppm ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับการทำงานของระบบเกลือ

2. การตรวจสอบระดับเกลือเมื่อเริ่มมีปัญหาทางน้ำ

หากสระว่ายน้ำเริ่มมีปัญหาทางน้ำ เช่น น้ำขุ่น หรือระบบกรองทำงานได้ไม่ดี อาจเป็นสัญญาณว่าเกลือในน้ำอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสม การตรวจสอบระดับเกลือเมื่อมีปัญหาคุณภาพน้ำจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ

  • การตรวจสอบระดับเกลือ: เมื่อพบปัญหาน้ำขุ่นหรือสระไม่สะอาด ควรตรวจสอบระดับเกลือในน้ำทันที โดยใช้เครื่องมือทดสอบที่เหมาะสม
  • การปรับระดับเกลือ: หากพบว่าเกลือในน้ำต่ำเกินไป ควรเติมเกลือลงในสระเพื่อให้ระบบเกลือทำงานได้ดีขึ้น แต่หากเกลือสูงเกินไป อาจต้องมีการปรับลดปริมาณเกลือ

3. ความเข้มข้นของเกลือที่เหมาะสม

ค่าความเข้มข้นของเกลือในน้ำที่เหมาะสมจะช่วยให้ระบบเกลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปจะมีช่วงที่แนะนำดังนี้:

  • ความเข้มข้นที่แนะนำในน้ำ:
    • ความเข้มข้นที่แนะนำคือประมาณ 3,000–4,000 ppm (parts per million) ซึ่งเหมาะสมสำหรับการผลิตคลอรีนจากระบบเกลือ
    • การรักษาระดับเกลือในช่วงนี้จะช่วยให้ระบบเกลือผลิตคลอรีนได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำได้ดี

4. ผลกระทบจากการมีระดับเกลือสูงหรือต่ำเกินไป

การมีระดับเกลือในน้ำสูงหรือต่ำเกินไปสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบเกลือและคุณภาพน้ำได้ดังนี้:

  • ระดับเกลือสูงเกินไป:
    • เกลือที่สูงเกินไปสามารถทำให้ระบบเกลือทำงานหนักเกินไป และอาจทำให้เครื่องกรองหรือระบบเกลือเสียหาย
    • อาจทำให้น้ำมีรสเค็มหรือทำให้ระบบกรองน้ำทำงานได้ไม่เต็มที่
    • ทำให้เกิดปัญหาการสะสมเกลือในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องกรองน้ำและท่อน้ำ
  • ระดับเกลือต่ำเกินไป:
    • ระบบเกลืออาจไม่สามารถผลิตคลอรีนได้ในปริมาณที่เพียงพอ ทำให้คุณภาพน้ำไม่ดี และเกิดการเจริญเติบโตของสาหร่ายและแบคทีเรีย
    • ระบบเกลือทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ไม่สามารถรักษาระดับคลอรีนที่เหมาะสมในน้ำได้
    • น้ำอาจเกิดการขุ่นหรือไม่สะอาด

การตรวจสอบระดับเกลืออย่างสม่ำเสมอและปรับระดับให้เหมาะสมจะช่วยรักษาคุณภาพน้ำในสระและให้ระบบเกลือทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ.

 

การเติมเกลือและการรักษาคุณภาพน้ำในสระ

การเติมเกลือในสระว่ายน้ำเป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะสำหรับระบบเกลือที่ใช้ในการผลิตคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อและทำให้สระสะอาด การเติมเกลือต้องทำในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ระบบเกลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ต่อระบบน้ำในสระ

1. ผลกระทบจากการเติมเกลือมากเกินไป

การเติมเกลือในปริมาณที่มากเกินไปอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพน้ำและระบบต่าง ๆ ในสระ ดังนี้:

  • ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เกลือในปริมาณที่มากเกินไป:
    • การเกลือในระดับสูงเกินไปจะส่งผลให้ระบบเกลือทำงานหนักขึ้น ซึ่งอาจทำให้เครื่องจักรเสียหาย หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบกรองน้ำทำงานได้ไม่เต็มที่
    • น้ำในสระอาจมีรสเค็มมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ไม่สะดวกในการใช้งาน
    • ความเข้มข้นของเกลือสูงเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาการสะสมเกลือในท่อหรือเครื่องกรองน้ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันและทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง
    • เกลือที่สูงเกินไปสามารถทำให้เกิดการกัดกร่อนในอุปกรณ์โลหะต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบน้ำ

2. การแก้ไขปัญหาเมื่อมีเกลือมากเกินไป

หากพบว่าเกลือในน้ำมีปริมาณมากเกินไป ควรดำเนินการดังนี้:

  • การลดระดับเกลือ:
    1. การเติมน้ำสะอาด: การเติมน้ำสะอาดลงไปในสระเพื่อเจือจางเกลือสามารถลดความเข้มข้นของเกลือในน้ำได้
    2. การเปลี่ยนถ่ายน้ำบางส่วน: หากระดับเกลือสูงเกินไปมาก การถ่ายน้ำบางส่วนออกจากสระและเติมน้ำใหม่สามารถช่วยลดความเข้มข้นได้
  • ตรวจสอบระดับเกลือ: หลังจากการเติมน้ำหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำแล้ว ควรตรวจสอบระดับเกลือใหม่เพื่อให้มั่นใจว่าค่าความเข้มข้นของเกลืออยู่ในระดับที่เหมาะสม

3. การเติมเกลือในสถานการณ์พิเศษ

บางครั้งมีสถานการณ์ที่ต้องเติมเกลือเพิ่มขึ้น เพื่อให้ระบบเกลือทำงานได้ดีขึ้นในบางสภาพการใช้งาน:

  • สถานการณ์ที่ทำให้ต้องเติมเกลือ:
    1. น้ำในสระระเหยออกไปเยอะ: การระเหยของน้ำจากสระว่ายน้ำทำให้ปริมาณน้ำลดลง และทำให้ความเข้มข้นของเกลือสูงขึ้น หากต้องการรักษาความเข้มข้นที่เหมาะสม จำเป็นต้องเติมน้ำและเกลือเพิ่มเติม
    2. การเติมน้ำใหม่: หากเติมน้ำใหม่ลงในสระ ค่าความเข้มข้นของเกลืออาจลดลง การเติมเกลือเพิ่มจึงจำเป็นเพื่อให้กลับมาสู่ระดับที่เหมาะสม
  • การเติมเกลือในช่วงที่มีการใช้งานบ่อย: การใช้งานสระบ่อยครั้งทำให้ระดับน้ำลดลง และอาจทำให้ความเข้มข้นของเกลือลดลงด้วย การเติมเกลือบ่อยครั้งตามความต้องการจะช่วยให้ระดับคลอรีนคงที่และระบบเกลือทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

4. การเติมเกลือในช่วงต่าง ๆ ของปี

การเติมเกลือในสระว่ายน้ำมีความสำคัญในช่วงต่าง ๆ ของปี เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพอากาศและการใช้งานของสระที่มีการเปลี่ยนแปลง:

  • ฤดูร้อน: ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนและการใช้งานสระบ่อยครั้ง การระเหยของน้ำในสระจะมากขึ้น การเติมน้ำและเกลือในช่วงนี้จึงจำเป็นเพื่อรักษาระดับความเข้มข้นของเกลือในน้ำ
  • ฤดูฝน: ในฤดูฝนที่มีฝนตกมากอาจทำให้น้ำในสระมีการเจือจาง การตรวจสอบและเติมเกลือเพิ่มอาจจำเป็นเมื่อระดับน้ำสูงขึ้นและความเข้มข้นของเกลือลดลง
  • ฤดูหนาว: ในฤดูหนาวที่การใช้งานสระลดลง การระเหยของน้ำก็จะลดลง แต่ก็ยังควรตรวจสอบระดับเกลือเป็นประจำ และเติมเกลือหากจำเป็นเพื่อรักษาคุณภาพน้ำในช่วงที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยนัก

การเติมเกลือและการดูแลรักษาคุณภาพน้ำในสระว่ายน้ำจะช่วยให้สระของคุณมีน้ำที่สะอาดและปลอดภัยสำหรับการใช้งานตลอดปี

 

การดูแลรักษาระบบเกลือ

การดูแลรักษาระบบเกลือในสระว่ายน้ำเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน ซึ่งรวมถึงการทำความสะอาดเซลล์อิเล็กโทรไลซิสและการปรับสมดุลค่า pH ของน้ำในสระ

1. การทำความสะอาดระบบเกลือ

  • วิธีการทำความสะอาดเซลล์อิเล็กโทรไลซิส:
    • เซลล์อิเล็กโทรไลซิสในระบบเกลือทำหน้าที่แยกเกลือออกเป็นคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำ การทำความสะอาดเซลล์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการสะสมของแร่ธาตุหรือเกลือที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานในระยะยาว
    • ควรทำความสะอาดเซลล์ทุกๆ 3-6 เดือน หรือเมื่อสังเกตเห็นว่าเซลล์มีการสะสมแร่ธาตุหรือเกลือที่อาจลดประสิทธิภาพการทำงานของระบบ
    • วิธีการทำความสะอาดเซลล์: ใช้น้ำยาทำความสะอาดเซลล์ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อขจัดการสะสมของแร่ธาตุและเกลือ โดยปิดระบบไฟฟ้าและถอดเซลล์ออกจากตัวระบบเกลือเพื่อทำความสะอาด
  • ความสำคัญของการทำความสะอาดเพื่อรักษาประสิทธิภาพของระบบ:
    • การทำความสะอาดเซลล์ช่วยลดการสะสมของแร่ธาตุที่อาจทำให้ประสิทธิภาพของระบบเกลือลดลง หรือแม้กระทั่งทำให้เครื่องจักรเกิดความเสียหาย
    • การทำความสะอาดสม่ำเสมอทำให้ระบบเกลือสามารถผลิตคลอรีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้น้ำในสระสะอาดและปลอดภัย

2. การปรับค่า pH ในสระ

  • การปรับ pH ในสระที่ใช้ระบบเกลือ:
    • การรักษาค่า pH ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ประมาณ 7.2-7.6) เป็นสิ่งสำคัญในการใช้งานระบบเกลือ เนื่องจากค่า pH ที่ไม่เหมาะสมจะส่งผลต่อการทำงานของระบบและอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น การทำงานไม่เต็มที่ของระบบเกลือ หรือการเกิดการสะสมของแร่ธาตุในเซลล์อิเล็กโทรไลซิส
    • ถ้าค่า pH ต่ำเกินไป (กรดเกิน) อาจทำให้ระบบเกลือทำงานได้ไม่เต็มที่และทำให้เกิดการกัดกร่อนในอุปกรณ์
    • หากค่า pH สูงเกินไป (ด่างเกิน) จะทำให้เกิดการสะสมของแร่ธาตุและการลดประสิทธิภาพของระบบเกลือ
  • ผลกระทบของค่า pH ที่ผิดปกติ:
    • pH ต่ำเกินไป: น้ำจะมีลักษณะกรดเกิน อาจทำให้เกิดการกัดกร่อนกับวัสดุที่เป็นโลหะในสระ เช่น ปั๊ม, ระบบกรองน้ำ, และอุปกรณ์ต่าง ๆ และลดประสิทธิภาพของระบบเกลือ
    • pH สูงเกินไป: น้ำจะมีลักษณะด่างเกิน อาจทำให้เกลือในน้ำเกิดการสะสมที่เซลล์อิเล็กโทรไลซิส ทำให้ประสิทธิภาพของการผลิตคลอรีนลดลงและอาจเกิดปัญหาผิวหนังสำหรับผู้ใช้งาน
  • วิธีการปรับค่า pH และเกลือในน้ำให้สมดุล:
    • การปรับค่า pH:
      1. pH ต่ำเกินไป (กรดเกิน): ใช้สารเพิ่มค่า pH เช่น โซดาไฟ หรือโซเดียมไบคาร์บอเนต เพื่อปรับค่า pH ให้สูงขึ้น
      2. pH สูงเกินไป (ด่างเกิน): ใช้สารลดค่า pH เช่น กรดไฮโดรคลอริก (Hydrochloric acid) หรือกรดซิตริก เพื่อปรับค่า pH ให้ต่ำลง
    • การตรวจสอบค่า pH: ควรใช้ชุดทดสอบค่า pH หรือเครื่องมือที่สามารถวัดค่า pH ได้อย่างแม่นยำและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ

การรักษาความสมดุลของ pH และเกลือในน้ำเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ระบบเกลือทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและช่วยรักษาคุณภาพน้ำในสระให้สะอาดและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน

 

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เกลือในสระ

การใช้เกลือในสระว่ายน้ำอาจเกิดปัญหาหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ในสระและคุณภาพน้ำในระยะยาว หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ

1. การกัดกร่อนอุปกรณ์ในสระ

  • ผลกระทบของเกลือที่อาจทำให้เกิดการกัดกร่อนในอุปกรณ์ต่างๆ:
    • เกลือในสระมีความเป็นกรดและด่างในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการกัดกร่อนในอุปกรณ์ที่เป็นโลหะ เช่น ปั๊ม เครื่องกรอง ท่อ หรืออุปกรณ์โลหะอื่น ๆ ในสระ
    • การมีเกลือในระดับสูงเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนที่สัมผัสกับน้ำโดยตรง ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสนิมหรือการเสียหายของวัสดุ
    • การสัมผัสกับเกลือเป็นเวลานานอาจทำให้วัสดุที่ใช้ในระบบสระ เช่น สแตนเลสหรือเหล็กบางประเภทเกิดการกัดกร่อนและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  • วิธีการป้องกันและดูแลรักษาอุปกรณ์ในสระให้ยาวนาน:
    1. เลือกใช้วัสดุที่ทนทาน: ควรเลือกใช้วัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อน เช่น สแตนเลสเกรดที่ทนทานต่อการกัดกร่อน หรือวัสดุที่มีการเคลือบป้องกันการกัดกร่อน
    2. ทำความสะอาดอุปกรณ์: ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อขจัดการสะสมของเกลือหรือแร่ธาตุที่อาจทำให้เกิดการกัดกร่อน
    3. ตรวจสอบอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ: การตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์และส่วนประกอบต่าง ๆ ของสระจะช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาก่อนที่จะเกิดความเสียหาย
    4. ใช้ตัวป้องกันการกัดกร่อน: การใช้สารป้องกันการกัดกร่อนหรือการเคลือบผิวอุปกรณ์ที่เสี่ยงต่อการกัดกร่อน จะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของอุปกรณ์

2. การเกิดตะกรัน (Scaling)

  • สาเหตุของการเกิดตะกรันในระบบเกลือ:
    • ตะกรันเกิดขึ้นจากการสะสมของแร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำ โดยเฉพาะแคลเซียมที่ผสมกับเกลือซึ่งเกิดการตกตะกอนในรูปแบบของตะกรันในเครื่องกรอง, เซลล์อิเล็กโทรไลซิส หรือท่อที่ใช้ในระบบ
    • ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเกิดตะกรันได้แก่ การมีค่า pH ที่สูงเกินไป, การเติมเกลือในปริมาณที่ไม่เหมาะสม, หรือการมีระดับแคลเซียมในน้ำสูง
  • วิธีการป้องกันและจัดการกับตะกรันที่เกิดขึ้น:
    1. ปรับ pH ของน้ำให้สมดุล: การรักษาค่า pH ของน้ำในช่วง 7.2-7.6 จะช่วยป้องกันการตกตะกอนของแคลเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ ในรูปแบบของตะกรัน
    2. ใช้สารป้องกันการเกิดตะกรัน: สารเคมีบางชนิด เช่น สารยับยั้งการเกิดตะกรัน สามารถช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมหรือแร่ธาตุอื่น ๆ ตกตะกอนในระบบเกลือ
    3. ทำความสะอาดเซลล์อิเล็กโทรไลซิสและเครื่องกรอง: การทำความสะอาดเซลล์อิเล็กโทรไลซิสและส่วนประกอบของระบบเกลือทุก 3-6 เดือนจะช่วยขจัดการสะสมของตะกรัน
    4. ควบคุมระดับแคลเซียมในน้ำ: ตรวจสอบและควบคุมปริมาณแคลเซียมในน้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการตกตะกอนที่อาจก่อให้เกิดตะกรัน

3. การดูแลระดับเกลือในน้ำ

  • การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากระดับเกลือที่ไม่เหมาะสม:
    1. การตรวจสอบระดับเกลือ: ควรตรวจสอบระดับเกลือในน้ำอย่างสม่ำเสมอด้วยเครื่องมือที่แม่นยำ เช่น เครื่องวัดระดับเกลือ เพื่อให้แน่ใจว่าระดับเกลืออยู่ในช่วงที่เหมาะสม (ประมาณ 3,000–4,000 ppm)
    2. แก้ไขปัญหาระดับเกลือที่สูงเกินไป: หากระดับเกลือสูงเกินไป ควรเติมน้ำสะอาดในสระเพื่อเจือจางความเข้มข้นของเกลือ
    3. แก้ไขปัญหาระดับเกลือต่ำเกินไป: หากระดับเกลือต่ำเกินไป ควรเติมเกลือเพิ่มเติมตามคำแนะนำของผู้ผลิตระบบเกลือเพื่อปรับระดับเกลือให้เหมาะสม

การดูแลรักษาระบบเกลือให้เหมาะสมสามารถช่วยให้ระบบเกลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เกลือในสระได้อย่างยาวนาน

วิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเกลือในสระว่ายน้ำ

การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเกลือช่วยให้การทำงานของระบบคลอรีนที่ผลิตจากเกลือมีความเสถียรและมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยรักษาคุณภาพน้ำในสระให้ใสสะอาดและปลอดภัย

1. การใช้เกลือคุณภาพดี

  • เกลือชนิดไหนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับใช้ในสระว่ายน้ำ:
    • เกลือที่ใช้ในระบบเกลือควรเป็น เกลือบริสุทธิ์ (Salt Grade) ซึ่งมีความบริสุทธิ์สูงจากแร่ธาตุอื่น ๆ และไม่ควรมีสารเคมีหรือสิ่งเจือปนที่อาจทำให้เกิดตะกรันหรือปัญหาอื่น ๆ ในระบบ
    • เกลือที่ใช้ในสระควรมีระดับความบริสุทธิ์อย่างน้อย 99% และไม่ควรใช้เกลือที่มีสารเติมแต่งเช่น ไอโอดีนหรือสารที่ทำให้เกลือมีสี เพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบและทำให้เกิดการตกค้างในเครื่องกรองหรืออุปกรณ์อิเล็กโทรไลซิส
    • เกลือทะเล เป็นตัวเลือกที่นิยมใช้ เพราะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการใช้งานในสระว่ายน้ำ และยังเป็นแหล่งที่มาของคลอรีนที่ปลอดภัย
  • การเลือกซื้อเกลือที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในการทำงาน:
    1. ตรวจสอบความบริสุทธิ์: เลือกซื้อเกลือที่มีคุณภาพสูง และสามารถตรวจสอบได้จากใบรับรองหรือข้อมูลจากผู้ผลิต
    2. การเลือกขนาดของเกลือ: เลือกเกลือที่มีขนาดเม็ดที่เหมาะสมกับระบบการทำงานของเครื่องอิเล็กโทรไลซิสของสระว่ายน้ำ
    3. เลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ: เลือกซื้อเกลือจากร้านหรือผู้จำหน่ายที่มีชื่อเสียง และสามารถรับประกันคุณภาพของเกลือ

2. การใช้เทคโนโลยีเสริมในระบบเกลือ

  • การใช้อุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้ระบบเกลือทำงานได้ดีขึ้น:
    • เครื่องกรองน้ำคุณภาพสูง: การใช้เครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพจะช่วยขจัดสารปนเปื้อนและสิ่งสกปรกออกจากน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบเกลือ
    • ตัวกรองเกลือ (Salt Chlorinator): เครื่องกรองเกลือช่วยในการปรับความเข้มข้นของเกลือในน้ำให้เหมาะสมและคงที่
    • การใช้ตัวเสริมสำหรับระบบเกลือ: การติดตั้งตัวเสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น ระบบกรอง UV, ระบบโอโซน หรือระบบช่วยฆ่าเชื้อด้วยวิธีอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมการทำงานของระบบเกลือในสระว่ายน้ำ
  • ระบบที่ใช้ UV หรือโอโซนควบคู่กับระบบเกลือ:
    • ระบบ UV:
      • ระบบ UV (Ultraviolet) ช่วยฆ่าเชื้อโรคและจุลินทรีย์ในน้ำด้วยแสง UV โดยไม่ต้องใช้สารเคมีเพิ่ม ซึ่งสามารถช่วยเสริมการทำงานของคลอรีนที่เกิดจากระบบเกลือ และลดการใช้คลอรีนลง
      • UV ช่วยลดการเกิดตะกรันและสารพิษที่อาจเกิดจากการใช้คลอรีนในปริมาณสูง
    • ระบบโอโซน (Ozone System):
      • โอโซนเป็นตัวช่วยในการฆ่าเชื้อโรคและยับยั้งการเจริญเติบโตของสาหร่าย โดยการใช้งานร่วมกับระบบเกลือช่วยให้ระบบน้ำในสระมีคุณภาพที่ดีขึ้น
      • โอโซนทำงานโดยการทำลายจุลินทรีย์และสารเคมีที่ตกค้างในน้ำ ช่วยให้ลดการใช้คลอรีนในปริมาณสูง และทำให้สระว่ายน้ำสะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น
      • ระบบโอโซนสามารถช่วยลดการเกิดตะกรันในระบบเกลือและลดการทำงานหนักของเซลล์อิเล็กโทรไลซิส

การผสมผสานการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น ระบบ UV หรือโอโซนร่วมกับระบบเกลือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคและรักษาคุณภาพน้ำในสระให้ดีขึ้น ลดการใช้สารเคมี และรักษาระบบการกรองน้ำให้ทำงานได้ดีอยู่เสมอ

 

การใช้งานระบบเกลือในสระว่ายน้ำกับระบบอื่นๆ

การใช้งานระบบเกลือในสระว่ายน้ำร่วมกับระบบต่างๆ ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษาคุณภาพน้ำ รวมทั้งช่วยลดการใช้สารเคมีอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายได้ โดยการทำงานร่วมกันของแต่ละระบบนั้นมีบทบาทสำคัญในการรักษาน้ำให้ใสและสะอาด

1. การใช้ระบบเกลือร่วมกับระบบกรองน้ำ

  • การทำงานร่วมกันของระบบเกลือและระบบกรองน้ำในสระ:
    • ระบบเกลือทำหน้าที่ผลิตคลอรีนจากเกลือในน้ำ โดยการใช้กระบวนการอิเล็กโทรไลซิส ทำให้สระว่ายน้ำมีคลอรีนในการฆ่าเชื้อโรคและบำรุงรักษาคุณภาพน้ำ
    • ระบบกรองน้ำทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น ผง หรือเศษวัสดุที่อยู่ในน้ำ โดยการกรองน้ำให้สะอาดและผ่านการกรองอย่างต่อเนื่อง
    • การทำงานร่วมกันของทั้งสองระบบนี้ช่วยให้ระบบการฆ่าเชื้อในน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น น้ำในสระสะอาดและมีการหมุนเวียนที่ดี
  • ความสำคัญของการบำรุงรักษาระบบกรองน้ำให้ทำงานได้ดี:
    • การทำความสะอาดและบำรุงรักษาเครื่องกรองน้ำเป็นสิ่งสำคัญ เพราะระบบกรองน้ำที่สกปรกอาจทำให้การกรองน้ำไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้น้ำในสระมีคุณภาพต่ำ และระบบเกลือทำงานได้ไม่เต็มที่
    • ควรทำการล้างหรือเปลี่ยนฟิลเตอร์ของเครื่องกรองน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เครื่องกรองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การใช้ระบบเกลือร่วมกับสารเคมีอื่นๆ

  • การใช้เกลือร่วมกับสารเคมี เช่น pH Adjusters, สารสกัดจากธรรมชาติ:
    • pH Adjusters: การใช้งานระบบเกลือร่วมกับสารปรับ pH เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะค่า pH ที่สูงหรือต่ำเกินไปจะทำให้คลอรีนในน้ำทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจทำให้ระบบเกลือผลิตคลอรีนได้ไม่ถูกต้อง
      • การใช้งานสารปรับ pH เช่น สารลด pH (กรด) หรือสารเพิ่ม pH (เบส) ช่วยรักษาค่าพีเอชในช่วงที่เหมาะสม (ประมาณ 7.2–7.6) ซึ่งทำให้ระบบเกลือทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
    • สารสกัดจากธรรมชาติ: การใช้สารสกัดจากธรรมชาติเช่น สารสกัดจากพืชหรือสมุนไพรบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ หรือช่วยลดการเติบโตของสาหร่าย สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบเกลือในสระว่ายน้ำ
      • ตัวอย่างเช่น การใช้สารสกัดจากมะกรูด หรือพืชสมุนไพรบางชนิดช่วยฆ่าเชื้อโรค หรือช่วยลดการเจริญเติบโตของสาหร่ายในน้ำ
    • ผลกระทบจากการใช้สารเคมีร่วมกับระบบเกลือ:
      • การใช้สารเคมีปรับ pH: หากใช้งานไม่ถูกต้องหรือเกินปริมาณที่แนะนำ อาจทำให้ระบบเกลือทำงานผิดปกติ หรือทำให้เกิดการตกค้างของสารเคมีในน้ำ
      • สารสกัดจากธรรมชาติ: บางสารจากธรรมชาติอาจทำให้เกิดการตกค้าง หรือมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบเกลือในระยะยาว ซึ่งอาจทำให้เครื่องอิเล็กโทรไลซิสเกิดตะกรันหรือการเสื่อมสภาพได้
      • การควบคุมความเข้มข้น: การใช้สารเคมีอื่นๆ ควรคำนึงถึงความเข้มข้นของเกลือในน้ำ เพราะการใช้สารเคมีที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกลือในน้ำไม่ได้ผล หรือมีการสะสมของสารเคมีในระบบเกลือ

สรุป:

การใช้งานระบบเกลือร่วมกับระบบกรองน้ำและสารเคมีอื่นๆ ช่วยเสริมการทำงานและรักษาคุณภาพน้ำในสระว่ายน้ำ แต่ต้องคำนึงถึงการบำรุงรักษาระบบต่างๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดี รวมถึงการเลือกใช้สารเคมีที่เหมาะสมเพื่อให้ระบบเกลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

 

การดูแลรักษาระบบเกลือในช่วงฤดูหนาว

ในช่วงฤดูหนาวเมื่ออุณหภูมิในสระลดลง การดูแลรักษาระบบเกลือในสระว่ายน้ำมีความสำคัญเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพอากาศเย็น เช่น การเกิดตะกรันหรือการเสื่อมสภาพของระบบเกลือ การบำรุงรักษาที่ดีจะช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบเกลือและรักษาคุณภาพน้ำในสระให้ใสสะอาด

1. การลดการเติมเกลือในช่วงที่ไม่ใช้งาน

  • ในฤดูหนาวหลายๆ สระอาจไม่ได้ใช้งานบ่อยเท่าช่วงฤดูร้อน ดังนั้นการลดปริมาณการเติมเกลือจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและยังช่วยรักษาระดับเกลือให้มีความเหมาะสมในน้ำ
    • การปรับการใช้งานในฤดูหนาวเพื่อลดการเติมเกลือ:
      • ลดการหมุนเวียนของน้ำ: หากสระไม่ได้ใช้งานบ่อยในช่วงฤดูหนาว สามารถลดระยะเวลาหมุนเวียนน้ำได้ เช่น ลดเวลาการทำงานของปั๊มหรือระบบเกลือในตอนกลางคืน
      • ลดการเติมเกลือ: หากมีการเติมเกลือในช่วงที่ใช้งานไม่บ่อย สามารถเติมเกลือในปริมาณที่น้อยลงได้ และตรวจสอบระดับเกลืออย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ไม่สูงเกินไป
      • การเพิ่มการเติมน้ำ: หากระดับเกลือในน้ำต่ำเกินไป สามารถเติมน้ำใหม่โดยไม่ต้องเติมเกลือใหม่ทุกครั้ง

2. การตรวจสอบและทำความสะอาดระบบเกลือในช่วงฤดูหนาว

  • การทำความสะอาดระบบเกลือในช่วงฤดูหนาวเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากในช่วงที่ใช้งานน้อย ระบบอาจจะเกิดตะกรันหรือสิ่งสกปรกสะสมได้ง่าย
    • การทำความสะอาดเซลล์อิเล็กโทรไลซิส: ควรทำความสะอาดเซลล์อิเล็กโทรไลซิสทุกๆ 3–6 เดือน ขึ้นอยู่กับการใช้งานและความถี่ของการสะสมตะกรัน การใช้สารทำความสะอาดเฉพาะสำหรับเซลล์อิเล็กโทรไลซิสจะช่วยให้ระบบเกลือทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
    • ตรวจสอบเซลล์อิเล็กโทรไลซิส: ตรวจสอบสภาพของเซลล์ว่าไม่มีการเสื่อมสภาพหรือเกิดตะกรันสะสมเกินไป ซึ่งอาจทำให้ระบบทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

3. คำแนะนำในการบำรุงรักษาระบบในช่วงที่อุณหภูมิในสระลดลง

  • ปรับการทำงานของระบบตามอุณหภูมิ:
    • เมื่ออุณหภูมิในสระลดลง การทำงานของระบบเกลืออาจต้องปรับเปลี่ยน เช่น ลดเวลาการทำงานของปั๊มหรือระบบกรองน้ำในช่วงฤดูหนาว
    • ระบบเกลืออาจทำงานได้ไม่เต็มที่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าปกติ ดังนั้นควรตรวจสอบการผลิตคลอรีนว่าทำงานได้ดีหรือไม่และปรับค่าความเข้มข้นของเกลือในน้ำให้เหมาะสม
  • การดูแลปั๊มและเครื่องจักรในสภาพอากาศหนาว:
    • อุณหภูมิที่เย็นจัดอาจส่งผลให้ปั๊มและอุปกรณ์ต่างๆ ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทั้งหมดอยู่ในสภาพที่ดี
    • ถ้าหากเป็นพื้นที่ที่อุณหภูมิหนาวจัด ควรป้องกันการแช่แข็งของระบบโดยการถ่ายน้ำออกจากเครื่องกรองหรือปั๊ม และปิดระบบหากไม่ใช้งาน

สรุป:

การดูแลรักษาระบบเกลือในช่วงฤดูหนาวต้องคำนึงถึงการปรับการทำงานของระบบให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เย็น และควรทำความสะอาดและตรวจสอบระบบเกลือเพื่อให้ระบบทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดปัญหาการสะสมตะกรัน และรักษาระดับเกลือในน้ำให้เหมาะสม รวมถึงการบำรุงรักษาอุปกรณ์ทั้งหมดให้พร้อมใช้งานเมื่อถึงฤดูร้อน

ติดต่อสอบถามขอมูลเพิ่มเติมทางไลน์เลือกซื้อสินค้า

หากสนใจสั่งซื้อ อุปกรณ์สระว่ายน้ำ สามารถติดต่อ เวิลด์พูลส์ ดีเวลล็อปเมนท์ ผู้นําด้านการจําหน่าย อุปกรณ์สระว่ายน้ำทุกยี่ห้อ Emaux , Astral Pool, Hayward , Raion , Jacuzzi , Kripsol , Pool & Spa , Dolphin ด้วยความหลากหลาย Brand ของสินค้าและแต่ละประเภทของสินค้า ถังกรองสระว่ายน้ำ ปั๊มสระว่ายน้ำ เครื่องเกลือสระว่ายน้ำ ไฟใต้น้ำ Fitting อุปกรณ์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เครื่องดูดตะกอนอัตโนมัติ และ เคมีสระว่ายน้ำ คลอรีน 90 % คลอรีน 70 % น้ำยากำจัดตะไคร่น้ำ Swimtrine Pooltrine  สารตกตะกอน ทำให้น้ำสระว่ายน้ำใส  สารพัดด้านเคมี เวิลด์พูลส์ ดีเวลล็อปเมนท์ พร้อมให้บริการและให้ปรึกษากับลูกค้าทุกท่าน

บริษัท เวิลด์พูลส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด